วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555



ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ทองหล่อ จาก ผ่านฟ้า”      
        “ผ่านฟ้าแจ้งเหตุ ว.40 รถยนต์สปอร์ต ยี่ห้อเฟอร์รารี สีเทาดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน เฉี่ยวชนจักรยานยนต์ตราโล่เจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วหลบหนี บริเวณปากซอยสุขุมวิท 47 โดยคนร้ายขับรถยนต์มุ่งหน้าหลบหนีไปทางซอยสุขุมวิท 53 ที่เกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตคาที่เกิด ว.13 ผู้แจ้ง********** ทองหล่อ ว.2 ข้อความ”
      
        “ทองหล่อ...ทราบ”
      
       ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ พร้อมด้วยกู้ภัยต่างรีบเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างเร่งด่วน ซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่า เสียง ว.6 จากศูนย์วิทยุผ่านฟ้าจะไปเข้าหู “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.ที่ตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้านมาปฏิบัติภารกิจในฐานะ “แม่ทัพนครบาล” ที่กำลังเฝ้าฟังความเคลื่อนไหวปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่นครบาลที่รับผิดชอบอยู่พอดีเฉกเช่นทุกวัน
      
       เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมกู้ภัยตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณปากซอยสุขุมวิท 47 พบรถจักรยานยนต์ ทะเบียนตราโล่ 51511 ของตำรวจสภาพยับเยินพลิกคว่ำอยู่กลางท้องถนน ตำรวจจึงได้นำสีสเปย์มาฉีดรอบวงไว้เพื่อเป็นหลักฐาน พื้นถนนมีรอยยางไหม้เป็นทางยาวช่วงก่อนจุดที่พบรถ จยย.พลิกคว่ำอยู่เล็กน้อยมี รอยครูดเป็นทางยาวบนท้องถนน ห่างจากจุดเกิดเหตุไปประมาณ 200 เมตร พบร่างไร้วิญญาณของ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่ ป.สน.ทองหล่อ รหัสหมวกคือ 126-4 นอนแน่นิ่งในสภาพอาการกระดูกแขนขาผิดรูป ศีรษะแตก มีเลือดออกท่วมกายอยู่บนพื้นถนนสุขุมวิทอย่างอเนจอนาถสายตาผู้พบเห็น
      
       เป็นประเด็นใหญ่โตขึ้นมาทันทีเมื่อผู้เสียชีวิตรายนี้เป็นถึงตำรวจในพื้นที่ สน.ทองหล่อ พื้นที่เกิดเหตุเองตำรวจที่มารตรวจพื้นที่เกิดเหตุจึงรายงานให้ พ.ต.อ.ชุมพล พุ่มพวง ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ทราบอย่างเร่งด่วน
      
       ส่วนคนร้ายที่ก่อเหตุได้ขับรถหลบหนีเข้าไปในซอยสุขุมวิท 53 เจ้าหน้าที่จึงได้ออกติดตามรถต้องสงสัยในทันที โดยพบที่พื้นผิวถนนมีคราบน้ำมันเครื่องเป็นทางยาวจากบริเวณจุดเกิดเหตุมาจนมาถึงบ้านเลขที่ 9 เนื้อที่กว่า 3 ไร่ ซึ่งจากการตรวจสอบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นของนายเฉลิม อยู่วิทยา ทายาทของเจ้าพ่อกระทิงแดงที่ล่วงลับไปแล้ว คือ นายเฉลียว อยู่วิทยา และรถยนต์คันดังกล่าวนั้นยังคงจอดอยู่ภายในบ้านแต่ยังไม่มีข้อมูลว่าผู้ใดเป็นผู้ขับขี่
      
       ในขณะเดียวกัน ผบช.น.ได้วิทยุรียกให้ ผกก.สน.ทองหล่อ ว.13 รายงานความคืบหน้าในที่เกิดเหตุทันทีหลังจากที่รู้ว่ามีเจ้าหน้าตำรวจเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่
      
        “นายครับรถคันก่อเหตุอยู่ในบ้านตระกูลอยู่วิทยา ของคุณเฉลียว เจ้าของกระทิงแดง ที่ซอยสุขุมวิท 53 ครับไม่ทราบจะให้ดำเนินการอย่างไรดีครับ”
      
       ช่วงสายวันเดียวกัน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้เดินทางไปยังบ้านหลังดังกล่าวโดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปภายในแต่อย่างใด ก่อนจะเดินออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมยืนยันว่าคดีนี้จะต้องติดตามจับกุมคนร้ายตัวจริงมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ เนื่องจากผู้ใต้บังคับบัญชาเสียชีวิต
      
        “ผมกล้าเอาตำแหน่งเป็นประกันผมพร้อมที่ลาออกจากตำแหน่งหากไม่สามารถนำผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีได้ ซึ่งหากยังไม่เดินทางเข้ามอบตัว ก็จะนำกำลังตำรวจ 300 นายบุกเข้าตรวจค้น” แม่ทัพนครบาลประกาศเสียงกร้าวจนทำให้เพื่อนสายตรวจตำรวจที่เสียชีวิต ซึ่งติดตามอยู่บริเวณอยู่หน้าบ้านพัก ได้ปรบมือให้กำลังใจต่อการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวไม่กลัวไม้ซุงอย่างผู้ประกอบการเครื่องดื่มชูกำลังยักษ์ใหญ่อย่างกระทิงแดง
      
       ในช่วงระหว่างรอคำตอบว่าใครเป็นผู้ขับขี่รถสปอร์ตหรูทูตมรณะคันดังกล่าว พ.ต.ท.ปัณณ์ภณ นามเมือง สวป.สน.ทองหล่อ ซึ่งเป็นผู้ดูแลบ้านตระกูลอยู่วิทยาได้เข้าไปพูดคุยกับนายเฉลิม อยู่วิทยา อย่างเคร่งเครียดหลังได้รับโทรศัพท์จากนายเฉลิมเรียกให้เข้าไปปรึกษาปัญหาสำคัญภายในบ้านอย่างเร่งด่วน
      
       พ.ต.ท.ปัณณ์ภณ ออกมาพร้อมกับหลักฐานสมุดบันทึกลงเวลาเข้า-ออกบ้านตระกูลอยู่วิทยา โดยพยายามออกมาพูดว่าคนดูแลรถภายในบ้านเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ยี่ห้อเฟอรารี่ สีเทาดำ หมายเลขทะเบียน ญญ 1111 กทม.ไปเกิดเหตุ
      
       เรื่องนี้ถึงกับทำให้ “บิ๊กแจ๊ส” ลมออกหูขึ้นมาทันที!!
      
       “ผมรับไม่ได้กับพฤติกรรมแย่ๆ อย่างนี้ของคนเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ถามหน่อยทำได้อย่างไรลูกน้องตายทั้งคน แล้วนี่ทราบประวัติด้วยว่าเป็นตำรวจที่ตั้งใจทำงานมีความประพฤติเรียบร้อยและในช่วงเวลาที่เขาตายก็เป็นเวลาปฏิบัติหน้าที่ สวมเครื่องแบบตำรวจออกมาตรวจจุดตรวจในช่วงเช้าจนมาเสียชีวิต ผมรับไม่ได้จริงๆ ครับ”พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.ให้เหตุผลในคำสั่งเด้งฟ้าผ่า หลังเซ็นคำสั่งโยกย้าย พ.ต.ท.ปัณณ์ภณ นามเมือง สวป.สน.ทองหล่อ เข้ามาช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) แบบไม่มีกำหนด เนื่องจากมีพฤติกรรมพยายามนำผู้ที่มีหน้าที่ขับรถประจำบ้านหลังดังกล่าวมาส่งพนักงานสอบสวนทั้งที่ในข้อเท็จจริงไม่ใช่ผู้ที่ขับรถชน ด.ต.วิเชียร เพราะจากการตรวจสอบสมุดบันทึกการเข้าออกของพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำประตูหน้า พบว่านายวรยุทธเป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุ พร้อมแต่งตั้ง พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนเพื่อความรัดกุมในคดี
      
       ต่อมา พล.ต.ท.คำรณวิทย์ได้เข้าไปในบ้านหลังดังกล่าวเป็นรอบที่สองพร้อมนำตัวนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส” ลูกชายคนเล็กของนายเฉลิม อยู่วิทยา นักธุรกิจหมื่นล้านเครื่องดื่มกระทิงแดง ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้ขับรถคันก่อเหตุพร้อมทนายความส่วนตัวเดินทางไปสอบสวนที่ สน.ทองหล่อ ทันที สร้างบรรยากาศที่เคร่งเครียดให้กับคนในตระกูลอยู่วิทยาเป็นอย่างมาก หลังจากที่นายเฉลิมได้เอ่ยปากขอร้อง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ให้การช่วยเหลือแต่ได้รับการปฏิเสธอย่างมีมารยาท โดยยืนยันให้นำตัว “ลูกบอส” หัวแก้วหัวแหวนของนายเฉลิมไปสอบปากคำที่ สน.ทองหล่อก่อน
      
       พล.ต.ต.อนุชัยบอกภายหลังการสอบปากคำเป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมงท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนที่ตามติดอย่างใกล้ชิดว่า เบื้องต้นนายวรยุทธให้การภาคเสธ โดยรับว่าชนจริง แต่รถของผู้ตายขับปาดหน้าทำให้หักหลับไม่ทัน ซึ่งตำรวจแจ้ง 2 ข้อหา คือ ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต และชนแล้วหนีโดยไม่แจ้งเหตุ โดยตั้งวงเงินประกัน 5 แสนบาท และไม่คัดค้านการประกันตัว
      
       ส่วน นายสุเวศ หอมอุบล อายุ 45 ปี ซึ่งเป็นพ่อบ้านดูแลรถ ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้ที่ขับรถคันเกิดเหตุ แต่จากการสอบปากคำและตรวจร่างกายเบื้องต้นไม่ปรากฏบาดแผล และ ร่องรอยจากการเกิดอุบัติเหตุ อีกทั้งไม่สามารถให้รายละเอียดเหตุการณ์ได้ จึงเชื่อว่าไม่ใช้ผู้ต้องหาตัวจริง ตำรวจจึงแจ้งข้อหาให้การเท็จกับเจ้าพนักงานซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ก่อนจะนำตัวส่งศาลแขวงพระนครใต้ต่อไป
      
       ทั้งนี้ คดีกว่าจะถึงชั้นศาล หรือกว่าศาลจะมีคำตัดสินยังคงต้องรอกันอีกหลายยก แต่สำหรับ พ.ต.ท.ปัณณ์ภณ นามเมือง อดีต สวป.สน.ทองหล่อ กลายเป็นหนังหน้าไฟถูกเชือดตั้งแต่ยกแรก จนยกสุดท้ายถึงขั้นคณะกรรมการสอบวินัยมีมติเป็นเอกฉันท์ ผิดวินัยร้ายแรง ให้ออกจากราชการไว้ก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
      
       ขณะที่ตัวผู้ก่อเหตุคือนายวรยุทธนั้นแม้จากการเปิดเผยข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2555 ที่ผ่านมาจะทำให้เขาโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เนื่องเพราะพล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร.ระบุชัดว่า ระยะทางตั้งแต่จุดชนแรกจนถึงจุดที่ร่างของ ด.ต.วิเชียรอยู่บนพื้นถนน ปรากฏกองคราบโลหิต เป็นระยะทางประมาณ 64 เมตร ทิศทางจากปากซอยสุขุมวิท 47 ไปทางซอย 49 โดยจุดแรกที่ชนพบรอยการกระเซ็นของเลือดบนพื้นถนน รอยครูดบนพื้นถนน ห่างจากจุดแรก 12.5 เมตร จำนวน 2 รอย ซึ่งรอยครูดบนเส้นขอบทางสีเหลืองห่างจุดสอง 7 เมตร รอยครูดที่ขอบคอนกรีตเกาะกลางถนนห่างจุดสาม 12 เมตร โดยมีรอยครูดบนพื้นถนนห่างจุดสี่ 1 เมตร รอยครูดบนพื้นถนนห่างจุดห้า 6.4 เมตร และกองคราบโลหิตจำนวนมากบนพื้นถนนห่างจุดหก 24.7 เมตร รวมระยะจุดชนแรก ถึงจุดที่ ด.ต.วิเชียรนอนบนพื้นถนน 64.6 เมตร ไม่มีร่องรอยการถูกลากต่อไปแต่อย่างใด ทั้งนี้ ตามจุดที่รถจักรยานยนต์ล้ม อยู่บริเวณใกล้ปากซอยสุขุมวิท 49 ห่างจากจุดชนแรกเป็นระยะทางประมาณ 163.6 เมตร ไม่ปรากฏรอยเลือดของผู้เสียชีวิตบนผิวถนนในบริเวณที่รถล้มอยู่แต่อย่างใด
      
       แต่ที่สิ่งที่จะทำให้เขาถูกสังคมประณามหนักไม่แพ้กัน รวมทั้งทำให้ต้องถูกแจ้งเพิ่มข้อกล่าวหาอีก 1 กระทงก็คือ ผลการตรวจสอบที่ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. ออกมาเปิดเผยว่า “นายวรยุทธมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่ากฎหมายกำหนด”
      
       หรือสรุปง่ายๆ ก็คือ “เมาแล้วซิ่ง” อันจะทำให้โทษรวมจะเพิ่มขึ้นเป็นอัตราจำคุกขั้นต่ำ 3 ปี และสูงสุดถึง 10 ปี
      
        งานนี้สังคมคงต้องฝากคำเตือนไปที่ทายาทกระทิงแดงโดยหยิบยืมคำเตือนที่ติดเอาไว้บนฉลากเครื่องดื่มชูกำลังของตระกูลว่า “ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด โปรดอ่านคำเตือนบนฉลากทุกครั้ง”
      
        เรื่องโดย/สอนของพ่อ สถิตในดวงใจ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น